โรงพยาบาลพนัสนิคม

โนโรไวรัส (Norovirus) ป้องกันโดย...ยึดหลัก

เตือนระวังท้องร่วง เชื้อ “โนโรไวรัส” พบบ่อยฤดูหนาว นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า โนโรไวรัส (Norovirus ) เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน ไวรัสชนิดนี้ไม่ใช่ไวรัสตัวใหม่ พบการ ระบาดเป็นระยะๆ ในช่วงฤดูหนาว ติดต่อกันได้โดยการกินอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงไม่สุก เช่น หอย ผักผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด รวมทั้งสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง สัมผัสกับสิ่งของที่มี เชื้ออยู่เช่น อาเจียน หรืออุจจาระของผู้ป่วย แล้วนำนิ้วเข้าปากโดยเฉพาะในเด็ก จึงสามารถเกิดการระบาดได้ง่ายในกลุ่มเด็กตามโรงเรียน ส่วนผู้ใหญ่มักไม่แสดงอาการ บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ อาจมีอุจจาระร่วงเรื้อรังนานนับเดือน นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า เชื้อโนโรไวรัส ก่อให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหาร หรือลำไส้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง อาจมีไข้ต่ำๆ ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมด้วย สามารถพบผู้ป่วยได้ทุกเพศทุกวัย มักจะมีอาการภายใน 12-48 ชั่วโมงหลังจากได้รับเชื้อไวรัส ลักษณะอาการเด่น คือ ท้องเสียและอาเจียน โดยปกติผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นและหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่ใน ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงโดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุอาจก่อให้เกิดการขาดน้ำได้ ดังนั้นควรดื่มน้ำเกลือแร่ โออาร์เอส เพื่อทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่ หากรักษาเบื้องต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบ แพทย์เพื่อให้การรักษาอย่างใกล้ชิดทันที ปัจจุบันยังไม่มียาเฉพาะในการกำจัดเชื้อไวรัสนี้ จะรักษาตามอาการ และยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส กรมควบคุมโรค ได้มีระบบเฝ้าระวังตรวจ สอบข่าวการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษจากเชื้อโนโรไวรัสอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการยึดหลัก “กินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ” โดยล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด ล้างให้นานไม่น้อยกว่า 20 วินาที ก่อนรับประทานอาหาร ก่อนใช้มือหยิบอาหาร หรือหลังหยิบ จับสิ่งของหรือสิ่งสกปรกต่างๆ รับประทานอาหารที่ยังร้อนๆ และปรุงสุกใหม่ๆ ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดและใช้ช้อนกลางเสมอ ดื่มน้ำสะอาด ภาชนะที่ใช้ในการกินและดื่มต้องสะอาด เด็กๆ ที่ติดเชื้อท้องเสีย โนโรไวรัส พ่อแม่ควรงดให้ลูกไปโรงเรียน ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการทำอาหารให้ผู้อื่นรับประทาน รักษาให้หายดีเสียก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

ที่มา : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข


กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานหลักประกันแห่งชาติ สปสช.
สำนักงานสาธารณสุขชลบุรี
HDC ชลบุรี
ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศด้านสุขภาพ สสจ.ชลบุรี
สำนักงานเขตสุขภาพที่ 6